การชาร์จแบตโทรศัพท์
5 ข้อควรระวังในการชาร์จแบตโทรศัพท์

โทรศัพท์ เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นแห่งยุคสมัยอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยหล่ะครับ ซึ่งการใช้งานที่สะดวกสบายและสามารถทำได้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างด้วยโทรศัพท์นั้น ย่อมเป็นดาบสองคม จึงทำให้เราต้องดูแลโทรศัพท์ให้ดีในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงเรื่องของ “การขาร์จแบต” ก็ด้วยเช่นกัน วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “5 ข้อควรระวังในการชาร์จแบตโทรศัพท์” กันครับ

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า แบตเสื่อม มีอาการอย่างไรให้สังเกตบ้าง?

แบตเตอรี่ลดเร็วกว่าปกติ ตามปกติแล้วเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม จะสามารถใช้งานได้ทั้งวันแบตเตอรี่จึงจะใกล้หมด แต่ถ้าหากแบตเตอรี่เริ่มหมดเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งวันหรือหมดเร็วกว่านั้น ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าแบตเตอรี่มีการเสื่อมสภาพค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ขณะใช้งานถ้าหากลดครั้งละหลายเปอร์เซ็นต์ก็เป็นอาการของแบตเตอรี่เสื่อมเช่นกัน (ตามปกติแล้วจะลดครั้งละ 1%)

ความจุไฟลดลง แบตเตอรี่เมื่อผ่านการใช้งานแล้วความจุจะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุการใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่ที่เริ่มเสื่อมสภาพจะมีความจุไฟน้อยกว่าแบตเตอรี่ใหม่ ๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยส่งผลให้เวลาชาร์จจะเต็มไวกว่าปกติ และแบตเตอรี่ก็จะหมดเร็วกว่าปกติด้วยเช่นกัน

แบตเตอรี่บวม แบตเตอรี่ที่เสื่อมมาก ๆ อาจมีอาการปูดบวมของตัวแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าหากเป็นมือถือสมัยก่อนที่สามารถเปิดฝาถอดแบตเตอรี่ออกมาดูได้ก็จะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่สำหรับมือถือยุคใหม่ที่เปิดฝาหลังเครื่องไม่ได้ เมื่อแบตเตอรี่บวมก็อาจดันฝาหลังหรือหน้าจอให้ปูดบวมหรืออ้าเผยอขึ้นมา

5 ข้อควรระวังในการชาร์จแบต

อย่าปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยง 0% หลายคนอาจจะเคยใช้มือถือจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยงเหลือ 0% หรือปล่อยให้เครื่องดับเองบ่อย ๆ ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นและไม่ควรทำ โดยมือถือบางรุ่นจะดับเครื่องทันทีเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียต่อแบตเตอรี่ แต่แนะนำว่าควรชาร์จแบตเตอรี่เมื่อเหลือระดับต่ำกว่า 20%

ระวังอากาศร้อน  การปล่อยให้แบตเตอรี่มือถืออยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ฉะนั้นจึงไม่ควรใช้หรือเก็บมือถือในที่อากาศร้อนจัด เช่น ในรถยนต์ กลางแดดจ้า ริมหน้าต่างที่แสงแดดส่องถึง

อย่าชาร์จแบตจนเต็ม 100% หลายๆ ท่านมักจะชอบชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เพราะคิดว่า เป็นการชาร์จที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่า ถ้าหากต้องการถนอมแบตเตอรี่ ควรจะให้แบตเตอรี่อยู่ระหว่าง 30-80% จะดีกว่า เน้นชาร์จบ่อยๆ แทนการชาร์จแช่ทิ้งไว้ข้ามคืน คือวิธีการถนอมแบตเตอรี่มือถือที่ถูกต้อง

ใช้ที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน ที่ชาร์จของแอปเปิล จะถูกออกแบบให้มีตัดกระแสไฟเข้าเมื่อมีการชาร์จเต็ม 100% แต่ถ้าหากเป็นที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน จะไม่มีฟังก์ชันตัวนี้ และส่งผลทำให้แบตเตอรี่ร้อนตลอดเวลา เสื่อมเร็วขึ้น อีกทั้ง ยังเสี่ยงต่อการระเบิดอีกด้วย

หลีกเลี่ยงการชาร์จแบตด้วยการเสียบสาย USB จากปลั๊กพ่วง เพราะการชาร์จแบตด้วยการเสียบสายอยู่ USB อาจก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้ากระชากได้จนทำให้แบตเสียหายได้นั้นเองครับ

วิธีการประหยัดแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ระหว่างวันที่เหมาะสมหากไม่สามารถชาร์จแบตเตอร์รี่ได้

สำหรับวิธียืดระยะเวลาการใช้งานมือถือไม่ให้แบตเตอรี่หมดเร็วนั้นไม่ยากเลย สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น ปรับลดแสงหน้าจอ, ปิดการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi / Bluetooth / GPS เมื่อไม่ได้ใช้งาน, เปิดโหมดประหยัดพลังงานเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ก็จะช่วยให้ใช้งานได้นานขึ้น แถมยังช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่นานขึ้นอีกด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “5 ข้อควรระวังในการชาร์จแบตโทรศัพท์” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความข้างต้นกันนะครับ

กระแสไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้าสำคัญอย่างไรต่อการชาร์จ

หากว่ากันด้วยเรื่องของการชาร์จแบตเตอร์รี่ต่างๆ แล้วนั้น สิ่งที่สำคัญนอกเหลือจากสายชาร์จและหัวชาร์จนั้นก็คือ “กระแสไฟ” ของบ้าน ซึ่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ประเทศอีกด้วยครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “กระแสไฟฟ้าสำคัญอย่างไรต่อการชาร์จ” พร้อมกับไปสำรวจกระแสไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ กันด้วยครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น…..เราไปลุยกันเล้ยย!!

กระแสไฟฟ้า คืออะไร?

กระแสไฟฟ้า (electric current) คือการไหลของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ในประจุยังสามารถถูกนำพาโดยไอออนได้เช่นกันในสารอิเล็กโทรไลต์ หรือโดยทั้งไอออนและอิเล็กตรอนเช่นใน พลาสมา กระแสไฟฟ้ามีหน่วยวัด SI เป็น แอมแปร์ ซึ่งเป็นการไหลของประจุไฟฟ้าที่ไหลข้ามพื้นผิวหนึ่งด้วยอัตราหนึ่ง คูลอมบ์ ต่อวินาที กระแสไฟฟ้าสามารถวัดได้โดยใช้ แอมป์มิเตอร์ กระแสไฟฟ้าก่อให้เกิดผลหลายอย่าง เช่น ความร้อน (Joule heating) ซึ่งผลิต แสงสว่าง ในหลอดไฟ และยังก่อให้เกิด สนามแม่เหล็ก อีกด้วย ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายใน มอเตอร์, ตัวเหนี่ยวนำ, และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

หลักการชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ที่ดีเพื่อไม่ให้แบตเสื่อม

●ชาร์จแบตให้เต็มก่อนใช้งาน ถ้าเป็นคนก็คงหมายถึง การพักผ่อนให้เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาก็จะสดชื่น พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ส่วนคำว่าชาร์จแบตให้เต็มของอุปกรณ์ไอที หมายถึงการชาร์จให้เต็มจริงๆ ไม่ชาร์จนิดหน่อยแล้วนำไปใช้ หรือเพิ่งใช้ปุ๊บแล้วรีบชาร์จปั๊บ เพราะจะทำให้การกักเก็บประจุในแบตเตอรี่ไม่สมบูรณ์

●อย่ารอให้แบตหมดหรือต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ การที่เราใช้อุปกรณ์เพลิน ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป หรือสมาร์ทวอทช์ จนปล่อยให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ ให้พึงระลึกเสมอว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นั้น คือ การวางยาพิษให้แบตเตอรี่ตายอย่างช้าๆ

●ไม่ชาร์จไป ใช้ไป นี่คือข้อห้าม! เพราะการชาร์จไฟไปแล้วใช้ไป ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ เนื่องจากมีการอัดไฟเพิ่มขึ้นตลอดเวลาจนเกิดความร้อนมาก ทั้งประจุไฟฟ้าที่ไหลเข้าอย่างรวดเร็ว และความร้อนคือ สาเหตุสำคัญของแบตเสื่อม และมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงอย่างแบตระเบิดได้ ควรชาร์จให้เต็มแล้วถอดปลั๊ก นำไปใช้ตามปกติ พอแบตลดจนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ค่อยนำไปชาร์จใหม่

●ใช้สายและหัวชาร์จของแท้ เพราะอุปกรณ์ชาร์จไฟที่ดีที่สุดของอุปกรณ์ไอทีก็คือ ของแท้แบรนด์เดียวกัน เหตุผลคือ ของแท้ และตรงรุ่นจะทำมาให้ตรงกับกำลังไฟที่เหมาะสมกับอุปกรณ์นั้นๆ รวมถึงมีฟังก์ชันต่างๆ ที่แมตช์กัน

กำลังไฟฟ้าของแต่ละประเทศที่น่ารู้

–          ไทย กำลังไฟ 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B/C/F

–          ญี่ปุ่น กำลังไฟ 100V 50Hz/60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B

–          เกาหลีใต้ กำลังไฟ 110V/220V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type C/F

–          สิงคโปร์ กำลังไฟ 230V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/G/M

–          จีน กำลังไฟ 220 V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type A/C/I

–          ฮ่องกง 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type G/D

–          อินเดีย 230V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/D/M

–          ไต้หวัน กำลังไฟ 110V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B

–          ทวีปยุโรป หลายประเทศ เช่น รัสเซีย นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ออสเตรีย กำลังไฟ 230V 50 Hz ส่วนใหญ่ใช้ปลั๊ก Type C ร่วมกับ F และ เดนมาร์ก C/F/E/K ส่วนType G เฉพาะประเทศอังกฤษ Type C และ J เฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ Type C และE เฉพาะ ฝรั่งเศส เช็ก และเบลเยี่ยม

–          ทวีปอเมริกา  กำลังไฟ กำลังไฟ 120V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B สำหรับ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา และกำลังไฟ 120V 60Hz สำหรับบราซิล (เป็นประเทศที่ยังมีไฟฟ้าระบบ 2 แรงดันควรตรวจสอบกำลังไฟก่อนใช้งานเพื่อป้องกันเครื่องใช้ฟฟ้าเสียหาย) บราซิลใช้ปลั๊ก Type C และ N เม็กซิโก กำลังไฟ 127V 60Hz ใช้ปลั๊ก Type A/B สุดท้าย กำลังไฟ 220V 50Hz ใช้ปลั๊ก Type C/I สำหรับอาร์เจนตินา

–          ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 230V 50 Hz ใช้ปลั๊ก Type I

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “กระแสไฟฟ้าสำคัญอย่างไรต่อการชาร์จ” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะชอบกันนะครับ

การชาร์จแบบ Wireless
การชาร์จแบตแบบ Wireless เป็นอย่างไร

สิ่งใดที่สามารถซื้อเวลาและลดเวลาหรือขั้นตอนต่างๆ ในการทำงานได้นั้น…ย่อมเป็นจุดขายและแรงดึงดูดที่เหมาะสมเพื่อให้เราได้เลือกสินค้าในการใช้งาน ซึ่งเรื่องของแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เราจะต้องให้ความสำคัญพอๆ กัน  ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันมีระบบ “Fast Charge” ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จแบตและมีอีกหนึ่งการชาร์จที่มีความสะดวกสบายซึ่งนั้นก็คือ “การชาร์จแบบ Wireless หรือ ชาร์จแบบไร้สาย” ที่วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกันครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น…เราไปชมกันเล้ยย!!

การชาร์จแบบ Wireless เป็นอย่างไร?

ลักษณะการชาร์จไร้สาย ทำงานโดยที่แท่นชาร์จไร้สายและด้านหลังของโทรศัพท์มือถือ จะมีขดลวดโลหะเหนี่ยวนําอยู่ เมื่อแท่นชาร์จได้รับไฟฟ้ากระแสสลับจากเต้าเสียบจะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้นรอบขดลวดเหนี่ยวนํา และเมื่อวางโทรศัพท์ลงไปที่แป้นรับ จะเกิดสนามแม่เหล็กรอบขดลวดและโลหะเหนี่ยวนำของโทรศัพท์เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กที่แท่นชาร์จและด้านหลังของโทรศัพท์มือถือ ในระดับที่สอดคล้องกันจะทําให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น

หลักการทำงานของการชาร์จไร้สาย

ไฟกระแสหลักจะถูกแปลงไฟเป็นกระแสไฟ AC โดยส่งผ่านแผ่นคอยล์ (ดูภาพประกอบ) เป็นลักษณะสนามแม่เหล็กในคลื่นที่ตรงกัน ทางด้านการชาร์จก็จะแปลงจากไฟ AC เป็น DC ดังนั้นการชาร์จไร้สาย จึงจำเป็นจะต้องมีพื้นผิวสัมผัสของมือถือที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น โดยเฉพาะวัสดุเคสที่ไม่หนาจนเกินไป และจะต้องรองรับการชาร์จไร้สายได้ดี โดยไม่มีวัสดุที่ขัดขวางการชาร์จแบบไร้สาย เช่น เคสไม้ ซึ่งเคสพลาสติกหนาก็อาจมีผล

ประโยชน์ของการชาร์จไฟแบบไร้สาย

ถ้าเอาแบบคิดง่ายๆ ก็เลยคือ ใครที่ใส่เคสกันน้ำ แบบเอาไปเล่นน้ำเนี่ย เคสมีลักษณะปิดหุ้มทั้งเครื่อง จะชาร์จไฟก็ต้องแกะเคสออกมา ก็จะเสี่ยงหากใส่กลับไปกลัวน้ำเข้าได้อีก ถ้าเป็นชาร์จไร้สายนี่ ชาร์จทั้งเคสกันน้ำได้เลย และอีกข้อดีคือ การชาร์จมือถือแบบมีสาย เราอาจจะสะดุดสายเตะสายลากมือถือหล่นพื้นได้ แต่การชาร์จไร้สายสะดวกกว่าเยอะนั้นเองครับ

สิ่งที่จำเป็นในการชาร์จโทรศัพท์แบบ Wireless

แท่นชาร์จ และมือถือต้องรองรับ Wireless Charging  แท่นชาร์จมักจะมียางกันลื่นเพื่อให้เราวางสมาร์ทโฟนชาร์จได้อย่างมั่นคง ไม่ลื่นหลุด ไหลหล่นพื้น ส่วนมือถือ / สมาร์ทโฟนก็จะต้องใส่เคส หรือมีวัสดุที่ไม่ลื่นไหลหล่นพื้นด้วยเช่นกัน

มาตรฐานของเทคโนโลยีชาร์จ Wireless

รองรับกำลังไฟสำหรับชาร์จมือถือต่ำสุดอยู่ที่ 5W (ระดับเริ่มต้น), 7.5W, 15W และล่าสุดที่ 30W ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ที่ผู้ผลิตมือถือออกแบบ นอกจากนี้การที่จะชาร์จไร้สายให้ได้ความเร็วเท่ากันนั้นก็จำเป็นต้องหาแท่นชาร์จไร้สายที่มีกำลังไฟเท่า ๆ กันด้วย โดยที่เห็นให้เลือกเยอะหน่อยคือ Belkin แต่ยิ่งจ่ายไฟได้แรง ราคาก็จะยิ่งสูงตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ข้อดีของการชาร์จแบบ Wireless หรือการชาร์จไร้สาย

จุดเด่นหลักๆ ที่เห็นได้ชัดเจนของที่ชาร์จไร้สายก็คือ ความสะดวกและความคล่องตัวในการใช้งาน เพียงแค่เราวางสมาร์ทโฟนไปบนแท่นชาร์จ ก็จะเริ่มกระบวนการชาร์จไฟทันที บางรุ่นก็จะมีการสำรองไฟไว้ในตัว เราจึงพกพาออกไปนอกบ้านได้คล้ายกับการพกพาวเวอร์แบงค์นั่นเอง แต่ไม่ต้องมีสายเชื่อมต่ออะไรให้วุ่นวายนั้นเอง นอกจากนี้การชาร์จแบบไร้สายยังประหยัดเวลามากกว่าการชาร์จแบบใช้สายในบางครั้งอีกด้วยครับ

และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “การชาร์จแบตแบบ Wireless เป็นอย่างไร” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเละน่าติดตามเพื่อการใช้งานในอนาคตอีกด้วยครับ เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจกันไม่มากก็น้อยกันนะครับ

Fast Charge
ทำความเข้าใจกับ Fast Charge

ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันนั้น เป็นอะไรที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการสื่อสาร โซเชียลหรือแพลตอฟอร์มที่เพิ่มความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ แบบขั้นสุดอย่าง “โทรศัพท์มือถือ” ก็ต้องกล่าวได้ว่ามีกันทุกคนเลยหล่ะครับ ซึ่งการใช้งานหนักๆ ก็ย่อมทำให้แบตเตอร์รี่ลดลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่การมาของ “Fast Charge” ก็ช่วยลดเวลาในการรอชาร์จแบตได้เป็นอย่างมากเลยหล่ะครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ทำความเข้าใจกับ Fast Charge” กันครับ

ปัญหาเรื่องแบตเตอร์รี่เสื่อมมักจจะเกิดจากอะไรได้บ้าง?

การที่แบตเตอร์รี่โทรศัพท์เสื่อมเร็วนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่

●การใช้งานแบตเตอรี่จนเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ เพราะทุกๆ การชาร์จหนึ่งรอบนั้นเซลล์แบตเตอร์รี่จะค่อยๆ มีอายุการใช้งานที่สั้นลงไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ไม่สามารถชาร์จเต็ม 100% แบบแท้จริงได้นั้นเองครับ

●ความร้อน เมื่อเกิดการชาร์จแบตเตอร์รี่จะทำให้เกิดความร้อนเกิดขึ้น ซึ่งหากใช้งานโดยไม่ระมัดระวัง แบตร้อนจะส่งผลทำให้เซลล์พลังงานเสื่อมสภาพได้ไวกว่าเดิมนั้นเองครับ

แล้ว Fast Charge คืออะไร?

เทคโนโลยีการชาร์จเร็ว (Fast Charging Technology) เป็นคุณเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เราสามารถ ชาร์จอุปกรณ์พกพา ต่างๆ ได้ในเวลาที่รวดเร็วกว่าเวลาที่ต้องใช้ปกติ (เรียกสั้นๆ ว่า “Fast Charge”) ซึ่งโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์พกพาอื่น ๆ ของคุณจะรองรับการชาร์จนี้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า แผงวงจรการชาร์จรองรับการชาร์จแบบนี้หรือเปล่านั่นเอง

การ Fast Charge จะทำให้แบตเตอรี่เสียหายหรือเปล่า?

เนื่องจากความร้อนที่เกี่ยวข้องกับการชาร์จอุปกรณ์ของคุณด้วยพลังงานสูง และอย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะพอทราบกันอยู่แล้วว่า ความร้อนนั้น ไม่ส่งผลดีต่อแบตเตอรี่สักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับ แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน (Li-Ion Battery) ที่สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ใช้ในปัจจุบัน ทำให้เป็นเหตุผลที่ผู้ผลิตระบบชาร์จเร็วหลายเจ้า พยายามลดความร้อนให้มากที่สุดในขณะที่เพิ่มการประจุให้ได้มากที่สุดไปด้วย ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลเสียต่อแบตเตอร์รี่โดยตรงหากไม่เกิดการใช้กำลังไฟที่เกินขนาดครับ

USB PD มาตรฐานกลาของงการชาร์จไฟฟ้าเป็นอย่างไร?

USB Power Delivery หรือ USB PD เป็นมาตรฐานการชาร์จที่สร้างขึ้นมาโดยหน่วยงาน USB-IF เป็นการเพิ่มความสามารถในการชาร์จขึ้นมาจากการใช้ส่งข้อมูลธรรมดา โดยมีการระบุชัดเจนว่าแต่ละเวอร์ชันส่งกระแสไฟได้เท่าไหร่ โดยเริ่มใช้ใน USB 3.1 เป็นต้นไป มีสเปครองรับแรงดันไฟฟ้า  (voltages) 5-48V และกระแสไฟฟ้า 0.5A/0.9A/1.5A/3A/5A ทำให้ได้พลังไฟฟ้าเต็มที่ 240W

แม้จะเป็นมาตรฐานกลาง แต่แบรนด์มือถือหลายค่ายก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานนี้โดยตรง แต่เลือกเป็นเหมือนแนวทาง ในการต่อยอดมาตรฐานของตัวเองซะมากกว่า

สายชาร์จ Type C คืออะไรกันนะ?

สายชาร์จ Type C สายแบบ USB A to USB C ที่มาพร้อมความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าสายชาร์จแบบปกติ นอกจากนี้ยังรองรับการจ่ายไฟตั้งแต่ 3 A ถึง 5 A สามารถเสียบปลายสายด้านใดก็ได้ สายชาร์จที่ถูกพัฒนาให้ชาร์จไวขึ้น พร้อมถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสาย USB Type-C ถูกพัฒนามาจนถึงเทคโนโลยีเวอร์ชั่น 3.1 สามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราความเร็วที่สูงกว่า วิดีโอ 4K และทำให้การถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อดีของระบบ Fast Charge ที่ควรรู้

●เติมแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์ได้โดยใช้ระยะเวลาไม่นานมาก

●อแดปเตอร์มักมีขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้พกพาง่าย

●อุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จเร็ว (อุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน) มักจะใช้ร่วมกันได้ เพราะมาจากพื้นฐานเทคโนโลยีรูปแบบเดียวกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับการ “ทำความเข้าใจกับ Fast Charge” ที่เราได้นำมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านเป็นความรู้กัน หวังว่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจและดึงดูดทุกๆ ท่านให้อ่านจนจบพร้อมกับได้ประโยชน์กันนครับ

สายชาร์จโทรศัพท์
4 วิธีการดูแลสายชาร์จโทรศัพท์

ว่ากันด้วยเรื่องของสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นอวัยวะส่วนที่ 33 นั้นก็คือ “โทรศัพท์มือถือ” ก็คงจะไม่เกินจริงเลยหล่ะครับ เพราะด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้น ทำให้โทรศัพท์มือถือของเรานั้น สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นเพียงแต่ให้ทำให้เราได้พักสายตานั้นเองครับ แต่การใช้งานโทรศัพท์หนักๆ ก็คงจะต้องมีการชาร์จกันอย่างแน่นอน วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “4 วิธีการดูแลสายชาร์จโทรศัพท์”  กันสักหน่อยเพื่อให้สายชาร์จอยู่กับเราไปนานๆ ครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น….เราไปชมกันเล้ยย!!

โทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน

โทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นระบบแอนดอรยด์หรือ IOS ก็คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่านโทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือ แต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอื่น

ระบบแอนดรอยด์กับ IOS ต่างกันอย่างไร?

●ด้านการใช้งาน Android จะมีความเป็นอิสระในการใช้งานมากกว่า iOS เนื่องจากว่าสามารถปรับแต่งการตั้งค่าของเครื่องได้มากมาย โดยที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกหรือติดตั้งแอปพลิเคชันภายนอกได้ สำหรับ iOS หากต้องการที่จะปรับแต่งการตั้งค่าได้มากยิ่งขึ้นจะต้องทำการปลดล็อกระบบหรือที่เรียกกันว่า การเจลเบรค

●ด้านความปลอดภัย ความปลอดภัยของ iOS จะมีความปลอดภัยมากกว่า Android เนื่องจากว่าเป็นระบบปิด การนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากหรือการไม่ยอมให้ติดตั้งแอปพลิเคชันจากภายนอกได้ ดังนั้นต้องดาวน์โหลดจาก App Store เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจาก Android ที่ยินยอมให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง แอปพลิเคชันจากไฟล์ที่ดาวน์โหลดได้ แต่ปัจจุบันใน Android จะมีระบบที่เรียกว่า Safety Net ที่สามารถสแกนอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันที่เป็นอันตรายได้

●ด้านการอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS จะได้รับการอัปเดตได้ยาวนานกว่า เพราะ iOS ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ได้เฉพาะอุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง

●ด้านฟังก์ชันของระบบ iOS มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายน้อยกว่าเพราะ Apple เป็นผู้สร้างสรรค์เพียงแหล่งเดียว ต่างจาก Android ที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลายเพราะระบบปฏิบัติการเป็นแบบเปิด ทุกบริษัทผู้ผลิตมือถือจะช่วยกันพัฒนาและทาง Google ก็จะนำมาใส่ในระบบปฏิบัติการ Android รุ่นต่อไป

4 วิธีการดูแลสายชาร์จ

●เลี่ยงการชาร์จไปพร้อม ๆ กับการใช้งาน สิ่งที่ทุกคนละเลย และมักจะชอบทำเป็นนิสัยนั่นก็คือ การชาร์จไฟไปเล่นสมาร์ทโฟนไปด้วยการที่เราชาร์จไปเล่นไปส่งผลทำให้สายกับข้อต่อจะเกิดการค้งงอผิดรูปทำให้บริเวณสายไฟกับข้อต่อเกิดการหักได้

●เก็บสายชาร์จให้ถูกวิธี วิธีการเก็บสายชาร์จให้ถูกวิธีเป็นอีกหนึ่งข้อที่สำคัญเราควรม้วนเก็บสายชาร์จใเป็นวงใหญ่มีความหลวมเล็กน้อย หรือควรเก็บไว้ในช่องแยก หรือ อาจซื้อกระเป๋าเล็ก ๆ หรือหากใครไม่อยากเก็บใส่กระเป๋าก็ควรที่จะม้วนเก็บให้เรียบร้อยก่อนใส่กระเป๋า เพื่อป้องกันไม่ให้สายชาร์จไปพันกับอุปกรณ์อื่นทำให้สายชาร์จเกิดการงอ หัก หรือสายไฟขาดได้

●หมั่นทำความสะอาด เพราะการทำความสะอาดหัวชาร์จจะช่วยการนำเข้ากระแสไฟในการชาร์จคงที่และไม่ทำให้สายพังหรือเครื่องร้อนจนเกินไป

●อย่าดึงปลั๊กแบบลวกๆ ไม่ระวัง  เวลาที่เราเสียบสายชาร์จ หรือถอดสายชาร์จออก เราควรจับบริเวณตรงหัวพลาสติกแข็งเท่านั้น ไม่ควรที่จะดึงตรงสายชาร์จโดยตรง หรือดึงตรงส่วนข้อต่อ เพราะหากว่าเราดึงแรงๆ อาจส่งผลให้สายไฟด้านในเกิดความเสียหาย หรือเกิดการฉีกขาดได้

และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “4 วิธีการดูแลสายชาร์จโทรศัพท์” และระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ที่เราได้รวบรวมมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความข้างต้น หวังว่าจะชอบกันนะครับ

ระบบ AI
ระบบ AI เรื่องสำคัญห้ามมองข้ามทำธุรกิจเกี่ยวกับไอที

การบอกว่าไอทีหรือเทคโนโลยีในปัจจุบัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็ไม่ใช่การมองที่ผิดอะไรและที่สำคัญนั้นจะยิ่งมีบทบาทมากกว่านี้ถ้าหากได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่คนจะทำธุรกิจเกี่ยวกับไอทีที่จะต้องระมัดระวังและจะต้องรู้เอาไว้คือเรื่องของจริยธรรมและคุณธรรม

ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา คนส่วนใหญ่จะมองไปในทิศทางที่ดีคือสามารถช่วยอำนวยความสะดวกลดความยุ่งยากวุ่นวาย ที่สำคัญยังมีเรื่องของความแม่นยำต่างๆที่วิเคราะห์ได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด แต่ใครจะรู้ว่าถ้าหากระบบ AI ที่จะทำได้ขนาดนั้น หมายความว่าระบบนี้จะต้องเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในทุกๆ เรื่องเพื่อที่จะเอามาใช้ประกอบการตัดสินใจ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบนี้สามารถที่จะทำงานได้อย่างอัจฉริยะและมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของระบบ AI ข้อมูลส่วนตัวต่างๆที่ไม่เป็นเพียงแค่เรื่องของประวัติแต่กลับกลายเป็นเรื่องของประวัติการใช้งานทั้งการเงินและโทรศัพท์ สามารถที่จะถูกเปิดโปงหรือเปิดเผยได้อย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่ารัฐบาลบางประเทศก็เริ่มมีการนำระบบ AI เข้ามาใช้เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลของคนในประเทศ

ดังนั้นต่อให้ระบบจะมีความอัจฉริยะความรักสมัยไปมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวส่วนตัว พี่บางเรื่องเปิดเผยเพียงแค่นิดเดียวก็อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวบุคคลเหล่านั้น

จึงทำให้ปัจจุบันกฎหมายเริ่มมีการระบุออกมาอย่างชัดเจนว่าระบบ AI สามารถเอามาใช้ทำงานกับองค์กรหรือสถาบันต่างๆได้ แต่ทั้งนี้ในการที่จะเอามาใช้งานก็จะต้องมีการคำนึงถึงเรื่องของจริยธรรม คุณธรรม รวมถึงเรื่องของความเป็นส่วนตัวของตัวผู้ใช้ ดังนั้นถ้าหากว่าระบบที่เลือกเอามาใช้ยังพบช่องโหว่หรือปัญหาในส่วนนี้อยู่ก็ควรที่จะต้องปรับปรุงและแก้ไข

เนื่องจากว่าต่อให้ระบบทำงานได้ดีแค่ไหนแต่ถ้ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวส่วนตัวหรือการทำอะไรสักอย่างหนึ่งโดยที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ หลุดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจก็จะเป็นคนอันตรายมากทีเดียว ดังนั้นการที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับไอทีในยุคปัจจุบัน ยิ่งถ้าเน้นไปในเรื่องของระบบ AI กลายเป็นสิ่งที่จะต้องระมัดระวังมากขึ้นและจะต้องใส่ใจรายละเอียดจากเรื่องทั้งหมดที่พูดถึงไปเพราะไม่อย่างนั้นก็จะมีปัญหาต่อการทำธุรกิจในภายหลังอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลเหล่านั้นจริงๆอาจจะต้องมีการทำหนังสือขออนุญาตตัวผู้ใช้เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้กับระบบของตัวเอง

ธุรกิจไอที
ธุรกิจไอทีคืออะไร? มาเจาะลึกความหมายของคำว่า ‘ธุรกิจไอที’ กัน!

ก่อนจะทำความเข้าใจคำว่า ‘ธุรกิจไอที’ เรามารู้จักความหมายของคำว่า ธุรกิจ และ ไอทีกันก่อน เพื่อสร้างความรู้พื้นฐานให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจกับคำว่า ธุรกิจไอที กันค่ะ

ธุรกิจคืออะไร?

คำว่า ธุรกิจ ในภาษาอังกฤษคือ Business มาจากคำว่า Busy แปลว่ายุ่ง ยุ่งจากอะไร? แน่นอนว่าจะต้องมาจาก ‘งาน’ ที่ทำอยู่นั่นเอง ดังนั้น Busy จึงแปลว่ามีงานมาก หรือมีธุระได้เช่นกัน จากความหมายของคำว่า Busy เชื่อมโยงมายังคำว่า ธุรกิจ ที่เกิดจากการรวมกันของคำว่า ธุระ (เรื่องส่วนตัว) + กิจ (งานที่ต้องทำ) แปลรวมๆได้ว่า ‘งานส่วนตัว’

เริ่มมองออกและเห็นภาพคร่าวๆกันแล้วใช่ไหมคะ ว่าทำไมเขาถึงเรียกงานของบุคคลนั้นๆ หรือกลุ่มนั้นๆที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล (ที่ทำงานเพื่อประชาชนหรือส่วนรวม) ว่า ‘ธุรกิจ’ นั่นเพราะมันเป็นงานที่ทำแล้วให้ผลประโยชน์กับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตรงกับความหมายของราชบัณฑิตราชยสถานกำหนดไว้ คือ ‘การงานประจำเกี่ยวกับอาชีพค้าขาย หรือกิจการอย่างอื่นที่สำคัญและที่ไม่ใช่ราชการ’ ตามที่กล่าวมาข้างต้น

ดังนั้น ธุรกิจ จึงเป็นระบบระบบหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้า การซื้อขาย การบริการ ระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการ ส่วนผู้ประกอบการได้รับผลกำไร เม็ดเงินในการขับเคลื่อนและขยายธุรกิจของตัวเองต่อไป

ไอที คืออะไร?

Information Technology หรือไอที แปลว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ มาจากการรวมกันของคำสองคำคือ เทคโนโลยี (สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากกระบวนการความรู้เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา) + สารสนเทศ (ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้) เมื่อรวมกันแล้วจึงให้ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศว่า การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ เพื่อเพิ่มมูลค่า ความเป็นระบบระเบียบในการรวบรวมข้อมูล จัดเก็บ และส่งต่อข้อมูลให้ผู้อื่น

ดังนั้น เมื่อคำว่า ‘ธุรกิจ’ รวมกับคำว่า ‘ไอที’ จึงหมายถึง…

            ระบบการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการ ระหว่างองค์กรและผู้บริโภค เพื่อให้ได้ผลกำไร หรือผลประโยชน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของเงิน หรือจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันหลายๆ องค์กรมีการปรับตัวนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการเพิ่มผลกำไรกันมากขึ้น เนื่องจากสังคมปัจจุบันเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกันมากน ซึ่งผลจากสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2019 ก็ช่วยยืนยันอีกเสียงว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจริง จากร้อยละ 34.9 (จํานวน 21.8 ล้านคน) เป็นร้อยละ 56.8 (จํานวน 36.0 ล้านคน) เชียวละ! แสดงให้เห็นว่าเมื่อสังคมมีพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ภาคธุรกิจต้องปรับตาม เพื่อให้เข้าถึงผู้คน/กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันนั่นเอง

ธุรกิจเกี่ยวกับไอที
แชทบอท ทางเลือกใหม่ธุรกิจเกี่ยวกับไอที

ธุรกิจเกี่ยวกับไอทีเป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายทางด้านของประเภทและวัตถุประสงค์สำหรับการใช้งาน แต่ถ้าจะทำแบบตามเทรนและมองเห็นถึงความสำคัญในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้พลังงานของคนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมผู้สูงอายุในตอนนี้เรียกได้ว่าสิ่งนี้นับเป็นตัวช่วยสำคัญที่ควรจะต้องมีเอาไว้ภายในบ้าน

แชทบอท เป็นเหมือนกับระบบตัวใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานแต่ประเทศเริ่มมีการพัฒนาให้มีรูปร่างและสามารถเอามาใช้งานได้จริงภายในบ้าน

หลายคนอาจจะยังมองไม่เห็นภาพว่า แชทบอทคืออะไร หน้าตาเป็นแบบไหน เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมันก็คือ Siri นั่นเอง เพราะภายในระบบ Smart Phone โดยเฉพาะ iPhone เวลาที่เราต้องการจะเปิดเพลง หรือทำอะไรเกี่ยวกับโทรศัพท์หรือระบบอินเตอร์เน็ตแบบที่เราไม่ต้องวุ่นวายพิมพ์ เราสามารถใช้การสั่งงานด้วยเสียงผ่านทาง Siri หลังจากนั้นก็จะได้ทำอย่างที่ต้องการ

แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าแชทบอทจะเน้นเรื่องของการสั่งการผ่านทางช่องแชทบอทได้เลย และสามารถที่จะสั่งงานเพื่อใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆภายในบ้าน ทั้งนี้สามารถที่จะมั่นใจได้เลยในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานโดยเฉพาะกับอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน นั่นหมายความว่าระบบที่อดีตเราเคยทำการสั่งงานผ่านทางสมาร์ทโฟนโดยจะต้องโหลด Application เฉพาะของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้นๆมากลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะรูปแบบการเป็นเกียรติการสั่งงานผ่านแชทบอทแค่สิ่งเดียวก็สามารถที่จะใช้งานได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้าน

และสาเหตุนี้ที่กลายเป็นตัวช่วยจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ก็เป็นเพราะเรื่องของความไม่วุ่นวายที่ไม่จำเป็นต้องใช้แอพพลิเคชั่นมากเลยในการสั่งงานเพื่ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แต่เพียงแค่บีเรื่องของแชทบอทตัวเดียวก็สามารถใช้เสียงในการสั่งการไม่จำเป็นต้องพิมพ์ให้เสียเวลา หลังจากนั้นอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านก็จะทำตามที่กำหนดเอาไว้

และเมื่อบ้านไหนรู้ว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยที่มีผู้สูงอายุกับเด็กภายในบ้านเยอะก็ควรที่จะต้องเลือกใช้หลอดมาเป็นตัวช่วย หรือถ้าหากใครที่กำลังมองหาธุรกิจเกี่ยวกับไอทีหน้าโดยว่าเป็นสิ่งที่กำลังมาแรงและจะเป็นสิ่งที่อยู่ได้ในช่วงระยะยาวเพื่อที่จะช่วยอำนวยความสะดวก แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าในปัจจุบันยังไม่มีเจ้าไหนที่สามารถทำได้แบบประสบความสำเร็จแบบ 100% หรือถ้ามีส่วนใหญ่แล้วก็จะมีเพียงแค่ในต่างประเทศแต่สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีให้เห็นดังนั้นแล้วก็สามารถที่จะค่อยๆพัฒนาเพื่อให้รองรับกับรูปแบบการใช้งานของคนไทยมากขึ้น และจะต้องเน้นเรื่องของความเสถียรให้อำนวยความสะดวกในการทำงานได้มากที่สุดด้วยจึงจะดี